เบื้องหลังตลาด

ชวนรู้จักกับ ‘แนวรับ แนวต้าน’ เทคนิคการวิเคราะห์ที่นักลงทุนควรรู้

ด้วย Team Exness

4124-post-1-Support and Resistance in Technical Analysis

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี แน่นอนว่านักลงทุนต่างก็แสวงหาเครื่องมือและกลยุทธ์ที่จะเข้ามาช่วยให้พวกเขาตัดสินใจหรือคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำมากที่สุด

และหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน ในบทความนี้เราจะชวนคุณมารู้จักกับ แนวรับ แนวต้าน โดยเน้นไปที่การอธิบายแนวคิดของแนวรับและแนวต้านคืออะไร มีประเภท หรือรูปแบบแบบไหน และเทคนิคการใช้งานเพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรด

รู้จักกับ แนวรับ แนวต้าน คืออะไร?

‘แนวรับ แนวต้าน’ คือ หนึ่งในเทคนิคในการวิเคราะห์การเทรดดวยการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาเพื่อมองหาจุดที่จะเข้าไปทำรายการที่ได้เปรียบ

แนวรับ (Support)

แนวรับ (Support) คือ ระดับราคาที่คาดการณ์ว่าแรงซื้อจะเข้ามาหนุนราคา เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาร่วงลงต่อ และจะเด้งกลับไปทุกที วิธีสังเกตแนวรับ คือ บริเวณที่กราฟลงมาแตะบริเวณนั้นมากที่สุด

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้หุ้นราคา 10 บาท แล้วราคาหุ้นขึ้นไปเป็น 11 บาท 12 บาท และยังคงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดเสียดายขึ้นมา เราจึงรอเวลาเพื่อให้กลับลงมาที่ราคา 10 บาทเหมือนเดิม (ซึ่งเป็นราคาที่เราคิดว่าต่ำสุดแล้วเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่เราเคยพลาดไป) และเข้าซื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงซื้อจำนวนมากที่เปรียบเสมือน ‘กำแพง’ ที่กั้นไว้ไม่ให้ราคาต่ำลงไปมากกว่านี้ และทำให้เกิดการดันราคาเพื่อเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้นนั่นเอง

แนวต้าน (Resistance)

แนวต้าน (Resistance) คือ ระดับราคาที่คาดการณ์ว่าแรงขายจะเข้ามาต้านราคา เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาพุ่งขึ้นต่อ

ส่วน “แนวต้าน” ก็จะตรงกันข้ามกับแนวรับ คือ “แนวต้าน” เป็นระดับราคาที่มักจะมีแรงขายเทลงมาเนื่องจากเป็นระดับราคาที่นักลงทุนพลาดไม่ได้ขายก่อนหน้านั้น

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้หุ้นราคา 10 บาท แล้วราคาขึ้นเป็น 20 บาท แต่เรายังไม่ขายเพราะคิดว่ามันสามารถขึ้นไปต่อได้ แต่ราคาหุ้นกลับต่ำลงจึงทำให้เกิดความเสียดาย ทำให้ตัดสินใจรอให้หุ้นกลับมาที่ราคา 20 บาทเหมือนเดิม ก็ทำให้คิดว่านี่คือราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเราและคนที่เคยพลาดไปครั้งหนึ่งก็จะเข้าขายในทันที จนทำให้เกิดเป็นแรงขายจำนนมาก เปรียบเสมือนกับ ‘กำแพง’ ที่กั้นไม่ให้ราคาขึ้นสูงไปมากกว่านี้ และทำให้เกิดการดันราคากลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง

ดังนั้น หากให้อธิบายเพื่อให้เห็นภาพกันมากขึ้นล่ะก็ แนวรับและแนวต้าน เปรียบเสมือน "กำแพง" ที่มองไม่เห็นในกราฟราคา เป็นจุดที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะ "เด้งกลับ" หรือ "หยุด" การเคลื่อนที่

ซึ่งในทางจิตวิทยาจะมองว่าแนวรับและแนวต้านนั้นเกิดมาจากสภาพจิตใจและอารมณ์ของผู้ที่ทำการซื้อขายอยู่ในตลาด โดยแบ่งผู้ซื้อขายออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

  • กลุ่มที่ซื้อและรอให้ราคาปรับตัวขึ้น

  • กลุ่มที่ขายและรอให้ราคาปรับตัวลง

  • กลุ่มที่กำลังรอเพื่อเข้ามาทำรายการ

ประเภทของ แนวรับ แนวต้าน

โดยประเภทของ แนวรับและแนวต้าน แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ ระดับแนวรับและแนวต้านแบบคงที่, แนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก และระดับแนวรับและแนวต้านแบบกึ่งไดนามิก

ระดับแนวรับและแนวต้านแบบคงที่

ระดับแนวรับและแนวต้านแบบคงที่ (Fixed Support and Resistance Levels) คือ จุดราคาที่เคยเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอดีต เช่น จุดสูงสุด/ต่ำสุดในช่วง 52 สัปดาห์ หรือเรียกง่ายๆ ก็คือ ราคาที่เคยเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอดีต

ซึ่งนักลงทุนมักจะใช้ข้อมูลในอดีตคาดการณ์แนวโน้มของตลาดว่ามีพฤติกรรมอย่างไรในอดีตเพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ในอดีตไม่สามารถนำมารับประกันผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำ นักลงทุนจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการลงทุนอย่างรอบคอบ

แนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก

แนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic Support and Resistance Levels) คือ การใช้วิธีอิงจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) เส้น Bollinger Bands

ซึ่งแนวรับและแนวต้านประเภทนี้จะเปลี่ยนแปลงตามเวลา และมักจะมีการปรับตามการเปลี่ยนของราคาล่าสุดเพื่อวางแผนและตัดสินใจเรื่องการเข้าทำรายการ เรียกง่ายๆ ก็คือ เป็นการคาดการณ์และวางแผนกับสถานการณ์ปัจจุบันของตลาด หากมีจุดที่เห็นแล้ววิเคราะห์ได้ว่าเป็นโอกาสก็จะพร้อมปรับเปลี่ยนแผนการในการทำรายการทันที

ระดับแนวรับและแนวต้านแบบกึ่งไดนามิก

ระดับแนวรับและแนวต้านแบบกึ่งไดนามิก (Semi-Dynamic Support and Resistance Levels) เป็นช่วงราคาที่ราคาทดสอบและยืนยันซ้ำๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงแรงซื้อ/ขายที่ระดับนั้น

วิธีการหาจุดซื้อขายหุ้นโดยการใช้ แนวรับ แนวต้าน

จุดสูงสุด/ต่ำสุด (Peaks and Troughs)

หมายถึง ระดับราคาสูงสุดหรือต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตบนกราฟราคา เป็นจุดที่นักลงทุนให้ความสนใจ เพราะอาจส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาในอนาคต

  • จุดสูงสุด (Peaks) เป็นจุดที่ราคาสินทรัพย์ "ขึ้นไปสูงสุด" ในช่วงเวลาหนึ่ง มักถูกมองเป็น "แนวต้าน" ที่อาจต้านทานการขึ้นต่อไปของราคา

  • จุดต่ำสุด (Troughs) เป็นจุดที่ราคาสินทรัพย์ "ลงไปต่ำสุด" ในช่วงเวลาหนึ่ง มักถูกมองเป็น 

"แนวรับ" ที่อาจหนุนราคาไม่ให้ลงต่อ

ความสำคัญของจุดสูงสุด/ต่ำสุด

  • นักลงทุนใช้จุดสูงสุด/ต่ำสุด เพื่อวิเคราะห์ "แนวโน้มราคา"

  • จุดสูงสุด/ต่ำสุดในอดีต อาจส่งผลต่อ "ทิศทางราคา" ในอนาคต

  • จุดสูงสุด/ต่ำสุด เป็นเครื่องมือ "วิเคราะห์ทางเทคนิค" ที่ใช้กันทั่วไป

ตัวอย่าง

  • หุ้น A เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 1,000 บาท ต่อมาราคาร่วงลงมาแตะ 700 บาท

  • 1,000 บาท กลายเป็น "จุดสูงสุด"

  • 700 บาท กลายเป็น "จุดต่ำสุด"

  • นักลงทุนอาจคาดการณ์ว่า 1,000 บาท จะเป็น "แนวต้าน" ที่ต้านทานการขึ้นต่อไปของราคา

  • นักลงทุนอาจคาดการณ์ว่า 700 บาท จะเป็น "แนวรับ" ที่หนุนราคาไม่ให้ลงต่อ

ระดับฟีโบนักชี (Fibonacci levels)

หรือ สัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) คือ ชุดระดับแนวรับและแนวต้านที่ได้มาจากลำดับ Fibonacci sequence ซึ่งเป็นลำดับตัวเลขที่เป็นผลรวมของตัวเลขสองตัวก่อนหน้าจนไปถึงค่าอนันต์ ได้แก่  0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233, 377… (สัดส่วน 23.6%, 38.2%, 61.8%, และ 78.6%) 

โดยนักลงทุนจะใช้ Fibonacci retracement เพื่อหาจุดที่ราคามีโอกาสเด้งกลับเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาและหาจุดเข้าซื้อ/ขายที่เป็นไปได้

ตัวอย่าง

  • หุ้น A ราคาอยู่ที่ 100 บาท

  • ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 120 บาท

  • ราคาร่วงลงมาแตะ 100 บาท

  • นักลงทุนอาจคาดการณ์ว่า แนวต้านอยู่ที่ 120 บาท (จุดสูงสุด), แนวรับอยู่ที่ 80 บาท (100 - (100 x 0.236)) และแนวรับถัดไปอยู่ที่ 60 บาท (100 - (100 x 0.382))

จุดหมุน (Pivot points)

คือ ระดับราคาที่คำนวณจากราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาปิดของ "วันก่อนหน้า" โดยจุดหมุนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น "แนวรับ/แนวต้าน" ที่เป็นไปได้ในวันถัดไป

เส้นแนวโน้ม (Trendlines)

คือ เส้นตรงที่ลากผ่านจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดบนกราฟราคา เพื่อแสดง "ทิศทาง" ของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อใช้ประกอบการหาแนวโน้มราคา และคาดการณ์แนวรับ/แนวต้าน

โดยประโยชน์ของเส้นแนวโน้ม คือ ช่วยให้วิเคราะห์ "ทิศทาง" ของราคา, ช่วยให้หา "จุดเข้าซื้อ/ขาย" ที่เป็นไปได้ หรือช่วยให้ "ตั้ง Stop-loss" เพื่อจำกัดความเสี่ยงได้นั่นเอง

วิธีการเทรดด้วยเทคนิค แนวรับ แนวต้าน

  • การซื้อที่แนวรับ: เมื่อราคาร่วงลงมาแตะแนวรับ คาดการณ์ว่าแรงซื้อจะเข้ามาหนุนราคา จึงเป็นโอกาสซื้อ

  • การขายที่แนวต้าน: เมื่อราคาพุ่งขึ้นไปแตะแนวต้าน คาดการณ์ว่าแรงขายจะเข้ามาต้านราคา จึงเป็นโอกาสขาย

  • การตั้ง Stop-Loss: วาง Stop-Loss ไว้ใต้แนวรับ (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือแนวต้าน (สำหรับการขาย) เพื่อจำกัดความเสี่ยง

  • การใช้ตัวชี้วัดอื่นประกอบ: ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เช่น RSI, MACD เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อ/ขาย

สรุป

ก่อนจบบทความนี้จะขอสรุปสั้นๆ อีกครั้งเกี่ยวกับ ‘แนวรับ แนวต้าน’ ว่า แนวรับ คือ ระดับราคาที่มีความต้องการซื้อมาก ส่วนแนวต้าน คือ ระดับราคาที่มีคนต้องการขายมาก แนวรับและแนวต้าน เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักลงทุน ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของราคา สามารถคาดการณ์จุดเปลี่ยน และช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจซื้อ/ขายได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาหาความรู้ ฝึกฝน และใช้กลยุทธ์นี้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการเทรด


ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาไม่อาจใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ผลการดำเนินงานในอนาคต เงินลงทุนของคุณมีความเสี่ยง โปรดเทรดอย่างรอบคอบ


ผู้เขียน:

Team Exness

Team Exness